scorezod.com
Menu

การขับรถเที่ยวผ่านทุ่งสกีในประเทศนอร์เวย์ที่เหมาะสำหรับครอบครัว

https://shorturl.asia/fdN4q          เมื่อดิฉันเริ่มเสนอความคิดที่จะสอนลูกๆ ซึ่งอาศัยอยู่ในรัฐฟลอริดาให้เล่นสกีในนอร์เวย์ ดิฉันยอมรับว่าความคิดนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเหลือเชื่อ แต่แผนการดังกล่าวในประเทศที่ได้รับเหรียญรางวัลโอลิมปิกฤดูหนาวมากที่สุดเป็นประสบการณ์ที่อาจช่วยกระชับความสัมพันธ์ภายในครอบครัวอย่างดีที่สุดรูปแบบหนึ่งซึ่งเราอาจจินตนาการได้ ในการเริ่มต้นออกเดินทางทริปเล่นสกีไปยังศูนย์สกีเฮมซีดัล (Hemsedal Ski Centre) ด้วยการขับรถเที่ยวจากเมืองหลวงที่พลุกพล่านของประเทศอย่างกรุงออสโลถือว่าเป็นแผนการที่เหมาะสมยิ่ง 

          เส้นทางดังกล่าวไม่ยาวไกลนัก คุณสามารถขับรถไปได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่เราได้จัดให้ทริปนี้เป็นทริปที่ใช้เวลา 3 วันอันเป็นโอกาสเฉลิมฉลองประวัติศาสตร์ยุคกลางของนอร์เวย์และความรักต่อกิจกรรมกลางแจ้ง (มีจุดแวะเติมน้ำมันมากมาย) ซึ่งเต็มไปด้วยช่วงเวลาแห่งการสร้างความทรงจำสำหรับสมาชิก 4 คนในครอบครัวของเรา วิธีที่เราทำให้การผจญภัยจากเมืองสู่เนินสกีลุล่วงไปได้ด้วยดีมีดังนี้ 

วันที่ 1
          การประเดิมด้วยทัศนียภาพภูเขาอันงดงามของนอร์เวย์เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติในกรุงออสโล ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศ สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ส่วนใหญ่ซึ่งคุณพบที่นี่อาจต่างจากไหล่เขาอันเขียวขจีของนอร์เวย์เป็นอย่างมาก แต่เมืองชายฝั่งทะเลที่คึกคักและผู้คนมีความขยันขันแข็งแห่งนี้ได้วางรากฐานความใกล้ชิดกับธรรมชาติให้แก่ชาวนอร์เวย์ เติมพลังให้พร้อมลุยกับกิจกรรมนอกสถานที่ตลอดทั้งวันด้วยบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าแบบสบายๆ ที่โรงแรมแกรนด์ (The Grand Hotel) ซึ่งเป็นสถานที่อันทรงเกียรติที่มีผู้มีชื่อเสียงอย่าง เฮนริก อิบสัน (Henrik Ibsen) นักเขียนบทละคร และ รูอาลด์ อามึนเซิน (Roald Amundsen) นักสำรวจ เคยแวะเวียนมาบ่อยๆ 

          จากนั้น มุ่งหน้าไปยังอุทยานฟรอกเนอร์ (Frogner Park) ขนาด 79 เอเคอร์ ที่ซึ่งหากสภาพอากาศกำลังดี คนท้องถิ่นจะต้อนรับให้คุณวิ่ง จ็อกกิ้ง และปิกนิกร่วมกับพวกเขา หรือปลดปล่อยความสงสัยใคร่เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างที่คุณมีในวัยเด็ก (แบบลูกๆ ของดิฉัน) ที่สนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ที่สุดของเมือง เดินเข้าไปในอุทยาน คุณจะพบกับสวนประติมากรรมวิเกลันด์ (Vigeland Sculpture Park) ที่มีชื่อเสียง ซึ่งจัดแสดงผลงานศิลปะมากกว่า 200 ชิ้นของ กุสตาฟ วิเกลันด์ (Gustav Vigeland) ศิลปินชื่อดังชาวนอร์เวย์ รวมถึงงานประติมากรรม “เด็กชายผู้เกรี้ยวโกรธ (The Angry Boy)” ที่ลูกสาวของดิฉันทำท่าเลียนแบบ 

          สัมผัสถึงขุมพลังของนอร์เวย์ในอีกรูปแบบหนึ่งเมื่อคุณขับรถประมาณ 12 นาทีไปทางตะวันออกตามแนวออสโลฟยอร์ด (Oslofjord) อันสวยงามมุ่งสู่โรงละครโอเปราและบัลเลต์แห่งชาติของนอร์เวย์ (The Norwegian National Opera & Ballet) สิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมที่ได้รับการออกแบบให้รู้สึกเหมือนกำลังลอยขึ้นจากท่าเรือที่อยู่ใกล้เคียง ทำให้เห็นทัศนียภาพที่กว้างไกลของฟยอร์ดอันยิ่งใหญ่ในออสโล การเดินชมอาคาร (ภายในและภายนอก) ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ก็มีบริการนำชมโดยไกด์ซึ่งมีค่าใช้จ่ายด้วยเช่นกัน 

          จากนั้นเดินไปยังจุดถัดไปสู่พิพิธภัณฑ์มุงก์ (Munch Museum) ซึ่งเป็นแหล่งรวมผลงานศิลปะจำนวนมากของศิลปินที่โด่งดังชาวนอร์เวย์ชื่อ เอ็ดวัด มุงก์ (Edvard Munch) รวมถึงงานจิตรกรรม “เสียงกรีดร้อง (The Scream)” อย่าลืมเผื่อเวลาไว้อย่างน้อย 3 ชั่วโมงสำหรับพิพิธภัณฑ์ 13 ชั้นแห่งนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยผลงานศิลปะมากกว่า 26,000 ชิ้นของศิลปินผู้ผ่านชีวิตแห่งความทุกข์ระทม อันเป็นเคล็ดลับการเข้าชมที่สามีของดิฉันอยากใช้แทนที่จะชมห้องจัดแสดงต่างๆ อย่างรีบเร่ง

          ก่อนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เดินไปที่ปราสาทและป้อมปราการอาเกิชฮืส (Akershus Castle and Fortress) เพื่อเที่ยวชมท้องพระโรงที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของพระราชวังยุคกลางแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ริมท่าเรือในออสโล เดินขึ้นบันไดหินไปยังยอดซากปรักหักพังเพื่อเก็บภาพดวงอาทิตย์ตกเหนือฟยอร์ดอันสวยงามตระการตา (อย่าลืมว่าในฤดูหนาวดวงอาทิตย์จะตกเร็วขึ้นที่เวลา 15:15 น.) 

           เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารค่ำ ให้เดินไปตามท่าเรือที่พลุกพล่านและให้รางวัลตัวเองที่ร้านโลโฟเทนฟิสเกอร์เรสโตรองต์ (Lofoten Fiskerrestaurant) ซึ่งเป็นร้านที่ได้รับรางวัลและขึ้นชื่อด้านอาหารทะเลสดใหม่ที่นำเสนอแบบทันสมัย แม้ว่าเมนูอาหารแบบอาลาคาร์ทอาจดูน่าดึงดูดใจ แต่เราเลือกเมนูแบบเป็นคอร์สของเชฟซึ่งเลือกได้ 3-5 คอร์ส อันสร้างความประทับใจให้เราเป็นอย่างยิ่งด้วยนวัตกรรมและศิลปะการปรุงอาหารของนอร์เวย์ (ลูกๆ ของเรารับประทานอาหารแบบอาลาคาร์ทที่ปรุงจากหอยแมลงภู่ร่วมกัน โดยแต่ละคนสั่งซุปมาต่างหาก)

วันที่ 2
           เติมพลังให้ทริปขับรถเที่ยวตามไหล่เขาด้วยอาหารเช้าที่โรงแรมซอมเมอร์โร (Sommerro) อันเป็นที่พักสุดชิคที่มีบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าหรูหราไม่แพ้กับบรรยากาศของโรงแรม ซึ่งจะได้ลิ้มรสของบราวน์ชีสชื่อดังของนอร์เวย์ด้วย (ลูกชายของดิฉันเป็นแฟนตัวยง) จากนั้น เตรียมตัวให้พร้อมกับสภาพอากาศบนพื้นที่ภูเขาด้วยการเลือกซื้อเสื้อผ้าสุดคลาสสิกของนอร์เวย์ในรูปแบบเสื้อสเวตเตอร์ของบริษัทเดลออฟนอร์เวย์ (Dale of Norway) จากร้านบูติกของแบรนด์ดังกล่าวบนถนนคาร์ลโยฮันส์เกต (Karl Johans gate street) อันมีชื่อเสียง

           หลังจากที่คุณได้สวมใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ให้ใช้ทางหลวง E16 เพื่อเที่ยวชมพื้นที่ภูเขาของนอร์เวย์ ซึ่งคุณสามารถหยุดแวะพักที่เมืองอันมีเสน่ห์อย่าง เมืองเฮอเนฟอสส์ (Hønefoss) ได้ ถ่ายภาพน้ำตกสัก 2-3 ภาพ (น้ำตกจะไหลแรงที่สุดในช่วงฤดูร้อน) แล้วเดินเที่ยวชมย่านคูเบ็น (Kuben) ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก 

           ก่อนเดินทางกลับ อย่าลืมแวะซื้อแซนด์วิชที่ร้านบราสเซอรีเฟิงเซเลต์ (Brasserie Fengselet) ในเฮอเนฟอสส์เพื่อเป็นเสบียงตุนไว้สำหรับช่วงถัดไปในทริปของคุณ เดินทางตามทางหลวงริกสไว 7 (Riksvei 7) ไปยังอุทยานธรรมชาติลังเกดรัก (Langedrag Nature Park) ซึ่งเป็นฟาร์มที่ดำเนินกิจการโดยครอบครัว มีสัตว์ต่างๆ มากกว่า 350 ตัว ประมาณ 20 สายพันธุ์ รวมถึงหมาป่า ลิงซ์ และสุนัขจิ้งจอกอาร์กติก นอกจากการชมสัตว์ที่ดูน่าเกรงขามแล้ว คุณจะได้เติมเต็มเวลาในช่วงบ่ายกับการชมวิวภูเขา ทะเลสาบ และแม่น้ำด้วยการเดินเท้า ปั่นจักรยาน หรือขี่ม้า หากคุณชอบกีฬากลางแจ้งมากกว่า ขอให้จองล่วงหน้าสำหรับการตกปลาและการพายเรือแคนู 

           ช่วงกลางคืนภูเขาในนอร์เวย์จะสวยงามมาก อันเป็นช่วงเวลาที่จะได้ใกล้ชิดกับคนที่คุณรักเมื่ออุณหภูมิลดต่ำลง มีแม้กระทั่งคำเฉพาะที่ใช้พรรณนาบรรยากาศดังกล่าวว่า “kos” ซึ่งแปลอย่างลำลองได้ว่าความผาสุกอันชวนให้อบอุ่น สัมผัสประสบการณ์สุดยอดของความผาสุกอันชวนให้อบอุ่น (kos) บนไหล่เขาด้วยอาหารค่ำและโกโก้ร้อนที่ร้านนิสโตลโครเค็นคาเฟ (Nystolkroken Kafe) ซึ่งเป็นร้านคาเฟบนภูเขาที่มองเห็นภูมิประเทศอันกว้างใหญ่ อีกทั้งเป็นที่รู้จักของบรรดานักเล่นสกีและนักปีนเขาที่แวะพักหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากกิจกรรมต่างๆ มาทั้งวัน

วันที่ 3
           การเล่นสกีที่สกีรีสอร์ทเฮมซีดัล (Hemsedal Ski Resort) ในนอร์เวย์ไม่เหมาะสำหรับคนใจเสาะ ดังนั้นทางที่ดีที่สุดจึงควรรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ร้านเดอะแบร์เฮาส์ (The Bear House) ในเมืองเนสเบียน (Nesbyen) ก่อนจะเดินทางขึ้นภูเขา ชาวนอร์เวย์ให้ความสำคัญกับการทำ (และการกิน) ขนมปัง อย่างจริงจัง ดังนั้นอย่าลังเลที่จะซื้อขนมปังข้าวไรย์สัก 1-2 ก้อนที่ร้านดังกล่าว 

           จากนั้น ก็ได้เวลาสำหรับการเล่นสกีทั้งวันที่ศูนย์สกีเฮมซีดัล (Hemsedal Ski Centre) ซึ่งมียอดเขา 3 แห่งและเนินลาดต่างๆ (รวมถึงกระท่อม อพาร์ตเมนต์ และโรงแรมในพื้นที่) ตลอดจนเขตเล่นสกีแบบแบ็กคันทรี แม้ว่าคุณจะไม่ใช่นักเล่นสกี แต่อย่าลืมขึ้นลิฟต์ไปยังยอดเขาที่สูงที่สุด ซึ่งคุณจะได้มองเห็นทิวทัศน์สุดวิเศษของนอร์เวย์ในระดับเหนือยอดไม้แบบไม่มีสิ่งใดมาบดบัง หากคุณเหมือนกับลูกๆ ของดิฉันซึ่งยังคงฝึกเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ดแบบต้องเกาะเชือกอยู่ ให้จองเวลาที่โรงเรียนสกีซึ่งมีผู้สอนมากประสบการณ์พร้อมที่จะเปลี่ยนมือใหม่ให้เป็นนักกีฬาที่มีความมั่นใจมากขึ้นได้ (หากคุณกำลังเดินทางในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์หรือสัปดาห์ที่มีนักท่องเที่ยวมาเล่นสกีเป็นจำนวนมาก ให้จองคลาสเรียนล่วงหน้า หรือคุณจะจองเมื่อเดินทางมาถึงก็ได้)

           อย่าลืมพักผ่อนภายในศูนย์สกีอันอบอุ่น ซึ่งมีร้านอาหารให้เลือกมากมาย รวมถึงร้านอาหารและบาร์โฮลล์วิน (Hollvin Restaurant & Bar) ที่มีบริการหลังการเล่นสกีจากพนักงานที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ เด็กๆ ยังสามารถเดินเล่นอย่างอิสระและพบกับเด็กคนอื่นๆ ได้ที่สนามเด็กเล่นในร่ม

          ในส่วนของผู้ที่เดินทางมาถึงช่วงเดือนที่ไม่ใช่ฤดูเล่นสกี คุณสามารถเพลิดเพลินกับเส้นทางเดินป่าและเส้นทางปั่นจักรยานของสถานที่ให้บริการแห่งนี้ ตลอดจนแม่น้ำที่เต็มไปด้วยปลาเทราท์สำหรับนักตกปลาตัวยง สนามกอล์ฟเฮมซีดัล (Hemsedal golf course) 9 หลุมที่อยู่ไม่ไกลมีแม่น้ำเฮมสิลา (the river Hemsila) อันโดดเด่นช่วยเพิ่มอุปสรรคความท้าทายสนุกๆ ซึ่งคุณต้องระวังขณะเล่นกอล์ฟ

          ปิดท้ายการผจญภัยในยามบ่ายด้วยอาหารสบายท้อง เช่น มีทบอลและปลา รวมถึงไวน์ซึ่งเป็นตัวเลือกหลักสองอย่างสำหรับการผ่อนคลายหลังการเล่นสกีที่ชาวนอร์เวย์ชื่นชอบ ในช่วงฤดูหนาว ห้ามพลาดการรับประทานอาหารค่ำที่ร้านเคิกเค็นโครเค็น (Kjøkken Kroken) ซึ่งโดดเด่นด้านบรรยากาศอันหรูหราและอาหารมากมาย รวมถึงเนื้อสันในที่ราดด้วยซอสครีมเบอร์เนส

            หากคุณยังมีพลังเหลืออยู่อีกมาก ให้ไปที่ร้านสตาฟโครอา (Stavkroa) ซึ่งให้บริการสถานบันเทิงยามค่ำคืน 4 แห่งที่มีชีวิตชีวาในยามราตรีอันมืดมิด เพลิดเพลินกับเครื่องดื่มที่ร้านเรฟูเอลเลานจ์ (Refuel Lounge) ก่อนมุ่งหน้าไปยังไนต์คลับ ที่ซึ่งดีเจและความบันเทิงจะคอยทำให้ผู้คนคึกคักตลอดทั้งคืน รีสอร์ทมีบริการดูแลเด็กสำหรับแขกที่นำเด็กมาด้วย (แนะนำให้จองล่วงหน้า) 

            หลังจาก 3 วันข้างต้น คุณสามารถอยู่เที่ยวชมภูเขาต่อได้นานเท่าที่คุณต้องการก่อนเดินทางกลับไปยังออสโล โดยใช้เวลาขับรถเพียง 3.5 ชั่วโมงตามเส้นทางที่คุณขับมา

โพสต์โดย : Kingdom Kingdom เมื่อ 15 ก.พ. 2567 03:00:43 น. อ่าน 63 ตอบ 0

facebook