วิหารอาบูซิมเบล อารยธรรมทางประวัคิศาสตร์และสถาปัตยกรรมอันสำคัญแห่งหนึ่งของอียิปต์ มีความโดดเด่นทางโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนแห่งใดในโลก
รวมถึงเป็นงานก่อสร้างที่ใหญ่โตอลังการในยุคโบราณ สะท้อนให้เห็นถึงอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรอียิปต์โบราณเมื่อหลายพันปีก่อน ด้วยเหตุนี้องค์กร UNESCO จึงได้ประกาศให้วิหารอาบูซิมเบลเป็นหนึ่งในมรดกโลก ซึ่งทุกวันนี้ได้มีนักท่องเที่ยวมากมายจากทั่วทุกมุมโลกต่างก็ตีตั๋วเดินทางเข้าสู่ประเทศอียิปต์เพื่อแวะชมความงดงามของอาบูซิมเบลสักครั้งในชีวิต
เมื่อถึงปี ค.ศ. 1960 ทางรัฐบาลอียิปต์มีโครงการที่จะสร้างเขื่อนกักน้ำในทะเลสาบนัสซอร์ ซึ่งหากดำเนินโครงการดังกล่าวจะส่งผลกระทบทำให้วิหารอาบูซิมเบลต้องจมอยู่ใต้น้ำ ทาง UNESCO
จึงมีการบูรณะเพื่อรักษาตัววิหารครั้งใหญ่ โดยเคลื่อนย้ายโครงสร้างอันซับซ้อนตัววิหารและภูเขาโดยรอบไปยังพื้นที่สูงเพื่อป้องกันการน้ำท่วม นับเป็นการบูรณะทางโบราณคดีโครงการยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยทำมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ เพื่อให้คนรุ่นต่อไปได้ชมแหล่งอารยธรรมที่เป็นมรดกโลกไว้สืบไป
จุดเด่นที่พลาดไม่ได้กับวิหารหลักแห่งนี้คือรูปปั้นยืนเทพสี่องค์เรียงติดกันในห้องด้านในสุด อันประกอบไปด้วยเทพอามุน เทพพทาห์ เทพราห์ และตัวพระองค์ฟาโรห์รามเสสที่ 2
เมื่อแสงอาทิตย์ยามเช้าของวันที่ 22 ตุลาคม และ 22 กุมภาพันธ์ จะสาดส่องเข้ามายังห้องด้านในอย่างตรงจุด โดยจะส่องเพียงเทพทั้งสามองค์ แต่แสงจะไม่ส่องไปยังเทพพทาห์เพราะเป็นเทพแห่งความมืด แสดงถึงความอัจฉริยะด้านการคำนวณของชาวอียิปต์โบราณ นักท่องเที่ยวจะสามารถชมปรากฏการณ์นี้ได้เพียงปีละสองครั้งเท่านั้น
-แต่งกายให้ดูสบายคล่องตัว เนื่องจากวิหารอาบูซิมเบลและสภาพแวดล้อมโดยรอบนั้นค่อนข้างแห้งแล้ง มีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงบ่าย และหากเดินทางไปช่วงฤดูร้อน
(ประมาณเดือนมิถุนายน – สิงหาคม) จะพบกับคลื่นความร้อนสูง จึงขอแนะนำนักท่องเที่ยวให้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเบาสบายและระบายอากาศได้ดี อย่าพกสิ่งของหนักเกินความจำเป็น
สวมรองเท้าหุ้มส้นที่ให้ความคล่องตัว ที่สำคัญคือแนะนำให้เตรียมอุปกรณ์กันแสงแดดต่าง ๆ เช่น แว่นกันแดด ครีมกันแดด หมวกกันแดด รวมถึงพกน้ำติดตัวไว้ในการจิบตลอดทางซึ่งจะช่วยป้องกันอาการฮีทสโตรกได้