"ปีศาจแดง" เริ่มต้นได้สวยเมื่อได้ประตูจากการยิงของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ที่ไปแฉลบ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ แต่หลังจากนั้น "เดอะ เร้ดส์" ก็จัดคืนแบบทบต้นทบดอกด้วยการซัด 3 ลูกรวดจาก โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ (2 ประตู) และ ดีโอโก้ โชต้า ก่อนที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด จะมายิงเพื่อความหวังให้เด็กผีฝันหวานการพลิกนรกเหมือนที่เคยทำให้เห็นแล้วเกม แต่สุดท้าย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ จัดการยิงตอกฝาโลงในช่วงทดเจ็บได้อย่างสุดยอด
แมตช์นี้อาจจะไม่ได้มีความหมายอะไรกับ แมนฯ ยูไนเต็ด มากไปกว่าหาก "ชนะ" ก็ได้ความสะใจ แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล นี่คือสามคะแนนที่ต่อลมหายใจในการลุ้นทำอันดับคว้าโควต้า ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เลยทีเดียว
1. ปัญหาการรับมือลูกตั้งเตะ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าปัญหาใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในหลายๆ เกมที่ผ่านมาก็คือเกมรับ โดยเฉพาะการรับมือกับลูกตั้งเตะ ซึ่งพวกเขาแสดงให้เห็นแล้วว่ามักจะเสียประตูจากจังหวะแบบนี้อยู่บ่อยๆ
ประตูที่โดน ลิเวอร์พูล ตีเสมอก็เริ่มต้นจากจังหวะเตะมุม ก่อนที่ ดีน เฮนเดอร์สัน จะชกบอลออกมาไม่ดี ขณะที่กองหลัง "ผีแดง" ก็เคลียร์ไม่ขาดทำให้ แนต ฟิลลิปส์ มีโอกาสซัดบอลเข้ามาที่หน้าประตู และ ดีโอโก้ โชต้า โชว์ให้เห็นถึงสัญชาตญาณดาวยิงด้วยการไขว้ขาส่งบอลไปซุกก้นตาข่าย
ขณะที่จังหวะที่ "หงส์แดง" ได้ประตูนำ 2-1 ช่วงทดเจ็บครึ่งแรกก็มาจากการเปิดฟรีคิก และ ปอล ป็อกบา ประกบ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ พลาดปล่อยให้ สตาร์ลูกหนังแซมบ้า วิ่งฉีกขึ้นไปโหม่งได้แบบสบายๆ ซึ่งนี่ถือเป็นประตูที่สร้างความแตกต่างให้กับเกมอย่างแท้จริง
ส่วนช่วงต้นครึ่งหลังต้องบอกว่า เฟร็ด รับผิดชอบเต็มๆ ที่ดันส่งบอลพลาด แต่ในขณะเดียวกัน ลุค ชอว์ ดันประมาทไม่ยอมเคลียร์บอลให้ขาดสุดท้ายเจอการเพรสซิ่งโหดเข้าไปจนเสียบอลและนำไปสู่การเสียประตูที่สาม
2. บ็อบบี้คืนฟอร์มโหดหลอน "ผีแดง"
หนึ่งในผู้เล่นที่คงจะมีความสุขมากๆ กับชัยชนะแบบท่วมท้นในเกม "แดงเดือด" คงหนีไม่พ้น โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ เพราะเขาใส่ชื่อตัวเองบนสกอร์บอร์ดได้สองประตู และยังเป็นการยิงประตูครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา
ฟีร์มีโน่ อาจไม่ใช่หน้าเป้าที่เฉียบคม เพราะส่วนใหญ่แล้วนักเตะมักจะเล่นในสไตล์ "พี่มีแต่ให้" ไม่เน้นยิงเอง อย่างไรก็ตามการได้ชื่อว่าเป็นแข้ง "เบอร์9" อย่างน้อยๆ ก็ต้องยิงประตูให้ทีมบ้าง แต่เขากลับเงียบกริบในช่วงเข้าสู่ปีฉลู
สำหรับแมตช์นี้ ดาวเตะทีมชาติบราซิล โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นมากๆ สามารถป่วนแนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้ตลอด ที่สำคัญยังพยายามวิ่งหาพื้นที่เพื่อที่จะสร้างสรรค์โอกาสให้กับตัวเอง และเพื่อนร่วมทีม ต้องบอกว่านี่เป็นฟอร์มที่สาวก "เดอะ ค็อป" อยากเห็นมากๆ
2 ประตูที่ทำได้ในเกมนี้ทำให้ "บ็อบบี้" คงรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก หลังจากที่สนิทเกาะหน้าแข้งมานานหลายเกม และยังเป็นการตอกกลับพวกนักวิจารณ์และเกรียนคีย์บอร์ดที่มองว่าเขาไม่ใช่ "หน้าเป้า" ธรรมชาติ ซึ่งก็ไม่ผิด แต่ฟอร์มแบบนี้ทำให้ คล็อปป์ ยิ้มระรื่นเพราะนี่คือสิ่งที่เขาอยากได้จาก ฟีร์มีโน่ มากๆ
ผลงานของ ฟีร์มีโน่ อาจจะทำให้ คล็อปป์ เลือกที่จะไม่หาหน้าเป้าตัวใหม่มาเสริมทัพในช่วงซัมเมอร์นี้ อย่างไรก็ตามถ้า กุนซือชาวเยอรมัน อยากได้ศักยภาพที่แท้จริงของนักเตะรายนี้ การจับเขาไปยืนเป็นเพลย์เมกเกอร์ น่าจะทำให้ทีมได้ประโยชน์มากขึ้นเป็นทีวีคูณ
3. "เจ้าหนูเทรนต์" โชว์ฟอร์มคุณภาพคับแก้ว
ผลงานของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ในเกม "แดงเดือด" คงทำให้แฟนบอลลิเวอร์พูล อิ่มอกอิ่มใจมากๆ เพราะนี่คือฟอร์มการเล่นที่แสนดุดันซึ่งพวกเขาคุ้นเคยมาตลอดช่วง 2 ซีซั่นที่ผ่านมา
"เจ้าหนูเทรนต์" ฟอร์มร่วงกราวรูดนับตั้งแต่ช่วงคริสต์มาสเป็นต้นมา จนทำให้เขาหลุดจากทีมชาติอังกฤษ อย่างไรก็ตามช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ดาวเตะเลือดผู้ดี ค่อยๆ เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลงานในแมตช์ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ต้องบอกเลยว่า อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ มีส่วนต่อชัยชนะอย่างมาก การวิ่งเติมเกมรุกของเขาทำให้ ลุค ชอว์ แทบประสาทเสีย และยิ่งประสานงานการ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ งานนี้แบ็กซ้าย "ปีศาจแดง" ทำอะไรไม่ได้เลย จะดันขึ้นสูงก็กลัวโดนส่วนกลับ จะคอยตั้งรับก็รับมือกับ "บังโม" และ "เทรนต์" ไม่ไหว
ขณะที่เกมรับที่หลายคนมองว่าเป็นจุดอ่อนของ "เทรนต์" แต่วันนี้เขารับผิดชอบได้อย่างยอดเยี่ยมทำให้เกมริมเส้นของ แมนฯ ยูฯ ที่ว่าเด็ดดวงแทบจะเป็นหมั้น และยังช่วยแบ่งเบาภาระ แนต ฟิลลิปส์ กับ รีส วิลเลียมส์ ได้เป็นอย่างดี
ในส่วนของลูกตั้งเตะงานนี้บอกเลยว่า อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ รับความดีความชอบไปเต็มๆ เพราะประตูตีเสมอก็เริ่มมาจากการเปิดเตะมุมที่สุดเฉียบคมของเขา ก่อนที่บทสรุปสุดท้ายเป็น โชต้า ที่ทำประตูได้ ส่วนประตูนำ 2-1 ก็มาจากการเปิดฟรีคิกที่เฉียบคมให้ ฟีร์มีโน่ โหม่งเข้าประตูไปอย่างงดงาม
สิ่งที่โดดเด่นที่เห็นได้อย่างชัดเจนจาก อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็คือการวิ่งขึ้นลงไม่มีหมด ไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบที่ทำให้แนวรับแมนฯ ยูฯ ไม่สามารถจัดการกับเขาได้
เกมนี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เข้ามานั่งชมเกม คงเห็นเต็มสองตาแล้วว่า "เจ้าหนูเทรนต์" กลับมาเป็นสุดยอดแบ็กขวาอีกครั้งแล้ว และงานนี้จะยอมทิ้งชื่อของเขาเป็นหนึ่งในขุนพล "สิงโตคำราม" ลุยศึกยูโร 2020 หรือเปล่า !!??!
4. ไบยี่-ลินเดอเลิฟ ไม่ใช่คำตอบคู่เซนเตอร์แบ็ก
การไม่มี แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ถือเป็นเรื่องเสียหายอย่างมากสำหรับแนวรับของ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะเมื่อมองดูชื่อเซนเตอร์แบ็กที่พวกเขามี ต้องบอกเลยว่าหาความไว้วางใจในการเล่นไม่ได้เลยจริงๆ
โซลชา เลือกจับ เอริก ไบยี่ ยืนคู่กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ถือเป็นบททดสอบสุดๆ เพราะการต้องสู้กับเกมรุกที่เต็มไปด้วยความรวดเร็วและคล่องตัวของ ลิเวอร์พูล มีสิทธิ์ที่จะทำให้พวกเขาโดนถล่มประตูยับได้ง่ายๆ
ทุกอย่างเป็นไปตามคาดทั้งสองคนเล่นไม่ค่อยนิ่งมากนัก มีจังหวะส่งบอลเสียหลายครั้ง แถม ไบยี่ ยังเข้าบอลพรวดพลาดจนเกี่ยวเสียจุดโทษ เดชะบุญที่ "วีเออาร์" เช็คว่าจังหวะเสียบ ฟิลลิปส์ โดนบอลก่อนไม่งั้นทีมคงสถานการณ์ย่ำแย่ยิ่งกว่านี้แหงๆ ส่วน ลินเดอเลิฟ เจอเกมเพรสซิ่งไล่บี้หนักเข้าไปถึงกับเตะบอลสะเปะสะปะเสียอาการหลายครั้งหลายหน
อาจจะมีสาวก "เร้ด อาร์มี่" บอกว่าจังหวะที่เสียประตูแรกกับประตูที่สามหากมี แม็กไกวร์ อยู่ในสนามคงสามารถช่วยทีมป้องกันได้ แต่กระนั้นต่อให้มี หรือไม่มีกัปตันทีม "ผีแดง" พวกเขาก็ยังคงมีปัญหากับการรับมือลูกตั้งเตะอยู่ดี
ตอนนี้เด็กผีโปรเจกต์คงอยากให้ โซลชา ตัดสินใจใช้งาน อั๊กเซล ตวนเซเบ้ มากกว่า ลินเดอเลิฟ เพราะผลงานของนักเตะเข้าตามากๆ เวลาเล่นร่วมกับ ไบยี่ โดยเฉพาะแมตช์ที่แพ้ เลสเตอร์ ซิตี้
แต่ดูเหมือน "น้าลูกอม" คงจะทู่ซี้ฟื้นใช้ ไบยี่ กับ ลินเดอเลิฟ ต่อไปสำหรับเกมลีกที่เหลืออยู่ เพราะแมตช์สำคัญที่สุดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คือเกมพบ บียาร์เรอัล ในรอบชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก
5. โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไม่ใช่ของแสลงอีกต่อไป-เปิดทางสว่างลุ้นท็อปโฟร์
นี่คือค่ำคืนที่สาวก "เดอะ ค็อป" รอคอยมานานหลายปี เพราะการมาเยือน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ของลิเวอร์พูล ถือเป็นของแสลงอย่างแรง โดยเฉพาะในยุค คล็อปป์ ที่ไม่เคยคว้า 3 แต้มกลับบ้านแม้แต่แมตช์เดียว
ตอนนี้อาถรรพ์เหล่านั้นได้สูญสลายไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อ คล็อปป์ แอนด์โค. จัดหนักจัดเต็ม ยัดเยียดความปราชัยให้กับเจ้าบ้านได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคม 2014 และยังเป็นแมตช์แรกที่ กุนซือชาวเยอรมัน นำ "เดอะ เร้ดส์" บุกมาคว้าชัยชนะได้ถึง "โรงละครแห่งความฝัน"
ยิ่งไปกว่านั้น 3 คะแนนในเกมนี้เป็นการเปิดทางสว่างให้กับ ลิเวอร์พูล ในการไต่อันดับขึ้นไปลุ้นท็อปโฟร์ เมื่อพวกเขาเก็บไปแล้ว 60 แต้ม ตามหลัง เชลซี ทีมอันดับ 4 แค่4 คะแนน และแข่งน้อยกว่า 1 เกม
แน่นอนว่าตอนนี้โชคชะตามทั้งหมดอยู่ในกำมือของ ลิเวอร์พูล อย่าลือว่า เชลซี มีแมตช์ต้องพบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในเกมลีกช่วงกลางสัปดาห์หน้า ซึ่งพวกเขาจะพลาดไม่ได้เช่นกัน เพราะหากทีมใดสะดุ้ง งานนี้มีสิทธิ์ได้เสียวสันหลังในเกมสุดท้ายของซีซั่นแหงๆ
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขอขอบคุณ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่อุตสาห์พักนักเตะตัวหลักในเกมที่แพ้ เลสเตอร์ เพื่อที่จะมาดับฝันลุ้นโควต้าไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่สุดท้ายกลายเป็นพ่ายยับคาบ้านซะงั้น !!
ทอมเม้ง CR. siamsport อัพเดทข่าวกีฬาได้ที่นี่ https://bit.ly/3kU1rPB
อัพเดทก่อนใครทั้งสถิติ ผลบอล วิเคราะห์บอล และผลการเเข่งขัน ไปพร้อมกับราคาค่าน้ำดีที่สุด มากที่สุดไปกับเรา ห้ามพลาด !
เท่านั้น! สอบถามกับเจ้าหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ดูข้อมูลเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3ef2AMA
****สมัครสมาชิกรับโบนัส 50 ฟรีสปิน***
ติดต่อเจ้าหน้าที่ 24 ชั่วโมง
Add line : @1XSUPPORT : https://line.me/R/ti/p/%40616ybwhk
ไลน์สำรอง LINE ID: @1xchat หรือคลิก https://line.me/R/ti/p/%401xchat
โพสต์โดย : Kate Hoffmeyer เมื่อ 14 พ.ค. 2564 16:17:08 น. อ่าน 433 ตอบ 1
RE : 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล ยิงแซงแดงเดือดดับ แมนยู
ตอบโดย : fortock เมื่อ 5 ส.ค. 2560 12:03:05 น. ตอบคำถาม